วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556



      อาจารย์ให้ทบทวนบทเรียนเพื่อเตรียมตัวในการสอบ

วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

                                "ไม่มีการเรียนการสอน"

วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

            

             อาจารย์ได้มอบหมายงานให้แต่ละกลุ่มเตรียมตัวนำเสนอเกี่ยวกับเด็กพิเศษที่จับกันได้  และพร้อมนำเสนอในอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม 2556



วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556


เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
(Children with behaviorally and Emotional disorders)
เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ หมายถึง ผู้ที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกติ เช่นคนปกตินาน ๆ ไม่ได้ หรือผู้ที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้ ซึ่งพฤติกรรมที่แสดงออกมานั้นไม่เป็นที่ยอมรับและพอใจของมาตรฐานความประพฤติปฏิบัติของสังคม ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย สอดคล้องกับสภาพการณ์ ซึ่งการจะจัดว่าใครมีความบกพร่องทางพฤติกรรม และอารมณ์ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้
1. สภาพแวดล้อม พฤติกรรมและอารมณ์ที่เป็นที่ยอมรับในสถานการณ์อย่างหนึ่ง
2. ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล ความคิดเห็นของคนสองคนที่มีต่อพฤติกรรมอย่างเดียวกัน ย่อมไม่เหมือนกัน
3. เป้าหมายของแต่ละบุคคล ซึ่งเป้าหมายจะเป็นตัวกำหนดทำให้การมองพฤติกรรมเดียวกันของคนสองคนมองกันคนละแง่
            เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์จะได้รับผลกระทบในลักษณะต่าง ๆ อาจจะเพียงข้อใดข้อหนึ่ง หรือหลายข้อก็ได้ และเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นและมีมาเป็นเวลานานแล้วได้แก่
1. ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ
2. ไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน หรือกับครูได้
3. มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กปกติอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน
4. มีความคับข้องใจ และมีความเก็บกดอารมณ์
5. แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามส่วนต่าง ๆของร่างกายหรือมีความหวาดกลัว
            เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก และกำลังได้รับความสนใจจากทางการแพทย์ ทางจิตวิทยา และทางการศึกษา ได้แก่
            1. เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders)
            2. เด็กออทิสติก (Autistic) หรือบางคนเรียกว่า ออทิสซึ่ม (Autisum)
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
            - อุจจาระ ปัสสาวะ รดเสื้อผ้า หรือที่นอน
- ยังติดขวดนม หรือตุ๊กตา
- ดูดนิ้ว กัดเล็บ
- หงอยเหงาเศร้าซึม
- เรียกร้องความสนใจ
- อารมณ์หวั่นไหวง่ายต่อสิ่งเร้า
- ขี้อิจฉาริษยา ก้าวร้าว
- ฝันกลางวัน
- พูดเพ้อเจ้อ
 เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
(Learning Disorders – LD)
เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง
เด็กที่มีปัญหาทางการใช้ภาษา หรือการพูด การเขียน
-ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน เด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการหรือความบกพร่องทางร่างกาย
ลักษณะของเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
            - มีปัญหาในทักษะคณิตศาสตร์
            - ปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้
            - เล่าเรื่อง/ลำดับเหตุการณ์ไม่ได้
            - มีปัญหาด้านการอ่าน เขียน
            - ซุ่มซ่าม
            - รับลูกบอลไม่ได้
            - ติดกระดุมไม่ได้
            - เอาแต่ใจตนเอง
เด็กออทิสติก(Autistic Disorder) หรือ ออทิสซึม(Autism)
- เด็กที่มีความบกพร่องอย่างรุนแรงในการสื่อความหมายพฤติกรรม สังคม และความสามารถทางสติปัญญาในการรับรู้
เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง
ติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต
ทักษะทางภาษา
ทักษะทางสังคม
-ทักษะการเคลื่อนไหว
ทักษะการรับรู้เกี่ยวกับรูปทรง ขนาดและพื้นที่
ลักษณะของเด็กออทิสติก
อยู่ในโลกของตนเอง
ไม่เข้าไปหาใครเพื่อปลอบใจ
ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน
ไม่ยอมพูด
เคลื่อนไหวแบบช้าๆ
ยึดติดวัตถุ
-ต่อต้านหรือแสดงกิริยาอารมณ์รุนแรง และไร้เหตุผล
มีทีท่าเหมือนคนหูหนวก
ใช้วิธีสัมผัส และเรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยวิธีการที่แตกต่างจากคนทั่วไป
เด็กพิการซ้อน (Children with Multiple Disabilities)
เด็กที่มีความบกพร่องที่มากกว่าหนึ่งอย่าง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้มาก
เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน
เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด
เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ หมายถึง ผู้ที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกติ เช่นคนปกตินาน ๆ ไม่ได้ หรือผู้ที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้ ซึ่งพฤติกรรมที่แสดงออกมานั้นไม่เป็นที่ยอมรับและพอใจของมาตรฐานความประพฤติปฏิบัติของสังคม ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย สอดคล้องกับสภาพการณ์ ซึ่งการจะจัดว่าใครมีความบกพร่องทางพฤติกรรม และอารมณ์ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้
1. สภาพแวดล้อม พฤติกรรมและอารมณ์ที่เป็นที่ยอมรับในสถานการณ์อย่างหนึ่ง
2. ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล ความคิดเห็นของคนสองคนที่มีต่อพฤติกรรมอย่างเดียวกัน ย่อมไม่เหมือนกัน
3. เป้าหมายของแต่ละบุคคล ซึ่งเป้าหมายจะเป็นตัวกำหนดทำให้การมองพฤติกรรมเดียวกันของคนสองคนมองกันคนละแง่
            เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์จะได้รับผลกระทบในลักษณะต่าง ๆ อาจจะเพียงข้อใดข้อหนึ่ง หรือหลายข้อก็ได้ และเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นและมีมาเป็นเวลานานแล้วได้แก่
1. ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ
2. ไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน หรือกับครูได้
3. มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กปกติอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน
4. มีความคับข้องใจ และมีความเก็บกดอารมณ์
5. แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามส่วนต่าง ๆของร่างกายหรือมีความหวาดกลัว
            เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก และกำลังได้รับความสนใจจากทางการแพทย์ ทางจิตวิทยา และทางการศึกษา ได้แก่
            1. เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders)
            2. เด็กออทิสติก (Autistic) หรือบางคนเรียกว่า ออทิสซึ่ม (Autisum)
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
            - อุจจาระ ปัสสาวะ รดเสื้อผ้า หรือที่นอน
- ยังติดขวดนม หรือตุ๊กตา
- ดูดนิ้ว
- ยังติดขวดนม หรือตุ๊กตา
- ดูดนิ้ว กัดเล็บ
- หงอยเหงาเศร้าซึม
- เรียกร้องความสนใจ
- อารมณ์หวั่นไหวง่ายต่อสิ่งเร้า
- ขี้อิจฉาริษยา ก้าวร้าว
- ฝันกลางวัน
- พูดเพ้อเจ้อ
- หงอยเหงาเศร้าซึม
- เรียกร้องความสนใจ
- อารมณ์หวั่นไหวง่ายต่อสิ่งเร้า
- ขี้อิจฉาริษยา ก้าวร้าว
- ฝันกลางวัน
- พูดเพ้อเจ้อ


วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ 
(Children with Physical and Health Impairments)
เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ หมายถึง ผู้ที่มีอวัยวะไม่สมส่วน อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนหายไป กระดูกกล้ามเนื้อพิการ เจ็บป่วยเรื้อรังรุนแรงหรือเฉียบพลัน มีความพิการทางระบบประสาทสมอง มีความลาบากในการเคลื่อนไหวจนเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาเล่าเรียน และการทากิจกรรมของเด็ก จำแนกได้ดังนี้
1. อาการบกพร่องทางร่างกาย ที่มักพบบ่อย ได้แก่
1.1 ซีพี หรือ ซีรีบรัล พัลซี่ (C.P. : Cerebral Palsy) หมายถึง การเป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการ หรือเป็นผลมาจากสมองที่กาลังพัฒนาถูกทาลายก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอด ซึ่งทำให้เกิดกลุ่มอาการผิดปกติอย่างถาวรจนทาให้การควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อสูญเสีย หรือบกพร่อง เช่น การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพี มีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่าง ๆ ของสมองแตกต่างกัน ที่พบส่วนใหญ่ คือ
1.1.1 อัมพาตเกร็งของแขนขา หรือครึ่งซีก (Spastic)
1.1.2 อัมพาตของลีลาการเคลื่อนไหวผิดปกติ (Athetoid) จะควบคุมการเคลื่อนไหวและบังคับให้ไปในทิศทางที่ต้องการไม่ได้
1.1.3 อัมพาตสูญเสียการทรงตัว (Ataxia) การประสานงานของอวัยวะไม่ดี
1.1.4 อัมพาตตึงแข็ง (Rigid) การเคลื่อนไหวแข็งช้า ร่างกายมีอาการสั่นกระตุกอย่างบังคับไม่ได้
1.1.4 อัมพาตแบบผสม (Mixed)
1.2 กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscular Distrophy) เกิดจากประสาทสมองที่ควบคุมส่วนของกล้ามเนื้อส่วนนั้น ๆ เสื่อมสลายตัว โดยไม่ทราบสาเหตุ ทาให้กล้ามเนื้อแขนขาจะค่อย ๆ อ่อนกาลัง เด็กจะเดินหกล้มบ่อย เดินเขย่งปลายเท้า ขาไม่มีแรงต้องใช้การท้าวโต๊ะหรือเก้าอี้เพื่อลุกยืนขึ้นหรือพยุงตัว อาการอาจเลวลงช้าหรือเร็วตามสภาพของเซลล์กล้ามเนื้อที่เสื่อมสมรรถภาพ และจะทาให้เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ ท้ายที่สุดต้องนอนอยู่กับที่ ซึ่งจะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจาเลวลง สติปัญญาเสื่อม
1.3 โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ (Orthopedic) ที่พบบ่อย ได้แก่
1.3.1 ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (Club Foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อนเนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida) ทาให้เกิดความพิการของประสาทไขสันหลังส่วนนั้น ๆ สูญเสียความรู้สึกเจ็บปวด กลั้นอุจจาระ ปัสสาวะไม่ได้ อาจมีน้าคั่งในสมอง และกระดูกเท้าพิการ เด็กประเภทนี้จะยืน เดินโดยใช้กายอุปกรณ์เสริม
1.3.2 ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ (Infection) เช่น วัณโรค กระดูก หลังโกง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรังมีหนอง เศษกระดูกผุทาให้กระดูกส่วนนั้นพิการ ขาสั้นเพราะการเจริญของกระดูกขาหยุดชะงัก
1.3.3 กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ มีความพิการเนื่องจากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หรือทันท่วงทีภายหลังได้รับบาดเจ็บ
1.4 โปลิโอ (Poliomyelitis) เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งเข้าสู่ร่างกายทางปาก แล้วไปเจริญที่ต่อมน้าเหลืองในลาคอ ลาไส้เล็ก และเข้าสู่กระแสเลือดจนถึงระบบประสาทส่วนกลาง เมื่อเซลล์ประสาทบังคับกล้ามเนื้อถูกทาลาย แขนหรือขาจะไม่มีกาลังในการเคลื่อนไหว ต่อมาทาให้มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา เพียงพิการแขนขา ยืนไม่ได้ หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินได้ด้วยกายอุปกรณ์เสริม
1.5 แขนขาด้วนแต่กำเนิด (Limb Deficiency) รวมถึงเด็กที่เกิดมาด้วยลักษณะของอวัยวะที่มีความเจริญเติบโตผิดปกติ เช่น นิ้วมือติดกัน 3-4 นิ้ว มีแค่แขนท่อนบนต่อกับนิ้วมือ ไม่มีข้อศอก หรือเด็กที่แขนขาด้วนเนื่องจากประสบอุบัติเหตุ และการเกิดอันตรายในวัยเด็ก หากเด็กที่มีความพิการมาแต่กาเนิดและได้รับการใส่กายอุปกรณ์เทียมเมื่ออายุยังน้อยจะสามารถปรับตัวได้ง่ายและดี แต่เด็กที่มีความพิการภายหลังถึงแม้จะได้รับการบาบัดรักษา ปรับสภาพ และฟื้นฟูสมรรถภาพจนสามารถเดินและใช้มือได้ด้วยกายอุปกรณ์เทียมแล้ว เด็กเหล่านี้ยังต้องการปรับตัว ปรับใจอีกระยะหนึ่ง
1.6 โรคกระดูกอ่อน (Osteogenesis Imperfeta) เป็นผลทาให้เด็กไม่เจริญเติบโตสมวัย ตัวเตี้ย มีลักษณะของกระดูกผิดปกติ กระดูกยาวบิดเบี้ยวเห็นได้ชัดจากกระดูกหน้าแข้ง
2. ความบกพร่องทางสุขภาพ ที่มักพบบ่อย ได้แก่
2.1 โรคลมชัก (Epilepsy) เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องมาจากความผิดปกติของระบบสมอง ที่พบบ่อยมีดังนี้ คือ
2.1.1 ลมบ้าหมู (Grand Mal)
2.1.2 การชักในช่วงเวลาสั้น ๆ (Petit Mal)
2.1.3 การชักแบบรุนแรง (Grand Mal)
2.1.4 อาการชักแบบพาร์ชัล คอมเพล็กซ์ (Partial Complex) บางครั้งเรียกไซโคมอเตอร์(Psychomotor) หรือเทมปอรัลโลบ (Temporal Lobe)
2.1.5 อาการไม่รู้สึกตัว (Focal Partial)  
2.2 โรคระบบทางเดินหายใจโดยมีอาการเรื้อรังของโรคปอด (Asthma)
2.3 โรคเบาหวานในเด็ก
2.4 โรคข้ออักเสบรูมาตอย
2.5 โรคศีรษะโตเนื่องจากน้าคั่งในสมอง
2.6 โรคหัวใจ (Cardiac Conditions)
2.7 โรคมะเร็ง (Cancer)
2.8 บาดเจ็บแล้วเลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia)
เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา (Children with Speech and Language Disorders)
การพูดและภาษาเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน ทั้งนี้เพราะการพูดเป็นการแสดงออกทางภาษา ดังนั้นเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา จึงหมายถึง ผู้ที่พูดไม่ชัด และลีลาจังหวะการพูดผิดปกติ ออกเสียงผิดเพี้ยน อวัยวะที่ใช้ในการพูดไม่สามารถเป็นไปตามลาดับขั้น การใช้อวัยวะเพื่อการพูดไม่เป็นไปดังตั้งใจ คาพูดที่ยากหรือซับซ้อนหรือยาวจะยิ่งมีปัญหามากหรือมีอาการพูดและใช้ภาษาที่ผิดปกติ โดยการพูดนั้นเห็นได้ชัดว่าผิดแปลกไปจากการพูดของคนทั่วไป ทาให้ฟังไม่รู้เรื่อง สื่อความหมายต่อกันไม่ได้ หรือมีอากัปกิริยาที่ผิดปกติขณะพูด ซึ่งความบกพร่องทางการพูดและภาษาสามารถจำแนกได้ดังนี้ คือ
1. ความผิดปกติด้านการออกเสียง
1.1 ออกเสียงผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐานของภาษาเดิม เช่น พูดเสียงขึ้นจมูกเนื่องมาจากอิทธิพลของภาษาถิ่น
1.2 เพิ่มหน่วยเสียงเข้าในคาโดยไม่จาเป็น
1.3 เอาเสียงหนึ่งมาแทนอีกเสียงหนึ่ง เช่น กวาด-ฟาด
2. ความผิดปกติด้านจังหวะเวลาของการพูด เช่น การพูดรัว การพูดติดอ่าง
3. ความผิดปกติด้านเสียง
3.1 ระดับเสียง เช่น การพูดเสียงสูงเกินไป ต่ำเกินไป หรือพูดระดับเสียงเดียวกันหมด
3.2 ความดัง เช่น พูดเสียงดังมาก หรือเบามากจนเกินไป
3.3 คุณภาพของเสียง เช่น พูดเสียงแตกพร่า เสียงแหบ เสียงหอบ เสียงขึ้นจมูก เสียงแปร่ง

4. ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่าDysphasia หรือ aphasia ที่ควรรู้จักได้แก่
4.1 Motor aphasia (Expressive หรือ Broca’s apasia)
4.2 Wernicke’s aphasia (Sensory หรือ Receptive aphasia)
4.3 Conduction aphasia
4.4 Nominal aphasia (Anomic aphasia)
4.5 Global aphasia
4.6 Sensory agraphia
4.7 Motor agraphia
4.8 Cortical alexia (Sensory alexia)
4.9 Motor alexia
4.10 Gerstmann’s syndrome
4.11 Visual agnosia
4.12 Auditory agnosia

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556


 ความหมายของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
1. ทางการแพทย์ มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษเหล่านี้ว่า เด็กพิการ ดังนั้นเด็กที่มีความต้องการพิเศษจึงหมายถึง ผู้ที่มีความผิดปกติ ผู้ที่มีความบกพร่อง หรือผู้ที่มีการสูญเสียสมรรถภาพ
2. ทางการศึกษา ให้ความหมายเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า หมายถึงเด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจาเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการที่ใช้ และการประเมินผล
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง หรือมีความเป็นเลิศทางสติปัญญา ซึ่งเรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า เด็กปัญญาเลิศ เมื่อทำการทดสอบระดับสติปัญญาจะพบว่าระดับสติปัญญาสูงกว่า 120 ขึ้นไป
2.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง ด้อยความสามารถ หรือมีปัญหา เด็กเหล่านี้มักจะเรียนรู้ได้ช้า และมีปัญหาในการเรียนรู้ ตลอดจนการพัฒนาด้านต่าง ๆ เป็นไปได้ไม่เท่าเทียมกับเกณฑ์เฉลี่ยของเด็กเมื่อเทียบกับเด็กในช่วงระดับอายุเดียวกัน
2.1 เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
2.2 เด็กบกพร่องทางการได้ยิน
2.3 เด็กบกพร่องทางการเห็น
2.4 เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
2.5 เด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
2.6 พร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
2.7 เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
2.8 เด็กออทิสติก
2.9 เด็กพิการซ้อน
2.10 (เด็กปัญญาเลิศ)

เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities)
เด็กบกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญา หรือเชาว์ปัญญาต่ากว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน มี 2 กลุ่ม คือ
1. เด็กเรียนช้า เด็กเหล่านี้จะมีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
2. เด็กปัญญาอ่อน เด็กปัญญาอ่อนแบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม คือ
2.1 เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก  
2.2 เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก
2.3 เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง
2.4 เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย
เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired )
เด็กบกพร่องทางการได้ยิน หมายถึง ผู้ที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท คือ
1.เด็กหูตึง หมายถึง ผู้ที่สูญเสียการได้ยินถึงขนาดที่ทาให้มีความยากลาบากจนไม่สามารถเข้าใจคาพูด และการสนทนา แต่ไม่ถึงกับหมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยินด้วยหูเพียงอย่างเดียว โดยไม่มี หรือมีเครื่องช่วยฟัง แบ่งตามระดับการได้ยิน ซึ่งอาศัยเกณฑ์การ
พิจารณาอัตราความบกพร่องของหู โดยใช้ค่าเฉลี่ยการได้ยินที่ความถี่ 500 , 1000 และ 2000 รอบต่อวินาที (เฮิร์ท : Hz) ในหูข้างที่ดีกว่า จำแนกได้ 4 กลุ่ม คือ
1.1 เด็กหูตึงระดับน้อย
1.2 เด็กหูตึงระดับปานกลาง
1.3 เด็กหูตึงระดับมาก
1.4 เด็กหูตึงระดับรุนแรง
2. เด็กหูหนวก หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทาให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยินด้วยหูเพียงอย่างเดียว โดยไม่มี หรือมีเครื่องช่วยฟังจนเป็นเหตุให้ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้ หากไม่ได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษ ถ้าวัดระดับการได้ยินแล้วจะมีการได้ยินตั้งแต่ 91เดซิเบล (dB) ขึ้นไป
เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments Children)
1.เด็กบกพร่องทางการเห็น หมายถึง ผู้ที่มองไม่เห็น หรือพอเห็นแสง เห็นเลือนลาง และมีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง โดยมีความสามารถในการเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ หลังจากที่ได้รับการรักษาและแก้ไขทางการแพทย์แล้ว หรือมีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา เด็กบกพร่องทางการเห็นจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. เด็กตาบอด หมายถึง เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรืออาจมองเห็นบ้างไม่มากนัก ไม่สามารถใช้สายตา
2. เด็กตาบอดไม่สนิท หรือบอดบางส่วน สายตาเลือนลาง หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา


วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556


    อาจารย์ปฐมนิเทศ แนะแนวการสอนและวิธีการสอน รวมถึงอธิบายความหมายของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ มีการอภิปราย ซักถามเกี่ยวกับความหมายของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ และสรุปเป็นแผนที่ทางความคิด
                                       
                               
 แผนที่ทางความคิด

      วันนี้อาจารย์ได้ปฐมนิเทศนักศึกษาแจกแนวการสอนพร้อมทั้งอธิบายรายละเอียดและข้อตกลงกับนักศึกษา และได้แบ่งประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษออกเป็น 9 ประเภทดังนี้1. เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน2. เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น3. เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้4. เด็กที่มีความบกพร่องทางภาษาหรือการสื่อสาร5. เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหว6. เด็กที่มีความบกพร่องทางอารมณ์และพฤติกรรม7. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา8. เด็กที่มีความบกพร่องทางพิการซ้ำซ้อน9. เด็กออทิสติก     อาจารย์ให้นักศึกษาทำแผนผังความคิดเกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษตามความเข้าใจ